รัฐธรรมนูญเดนมาร์กมี #สว มั้ย? (ยาวนะคะ แต่แซ่บ)
บทความโดย Shinny Pimlapas Leekitcharoenphon
วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันหยุดที่เดนมาร์ก เพราะเป็นวันรัฐธรรมนูญคะ
 เดนมาร์กเริ่มมีรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1849 (สมัยรัชกาลที่ 3 แห่งสยาม) และเป็นวันที่เปลี่ยนการปกครองจาก absulte monarchy เป็น constitutional monarchy แต่ในช่วงแรกนั้นก็ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยซักเท่าไร เพราะเกือบ 20% ของ สว แต่งตั้งโดยกษัตริย์เดนมาร์ก ที่เหลือแม้จะเลือกตั้ง แต่เลือกโดยชนชั้นสูง และบรรดาเจ้าสัวของประเทศ ส่วน สส ก็เลือกตั้งจากผู้ชายอายุ 25 ปีขึ้นไปที่มีที่ดินและไร้ซึ่งหนี้สินเท่านั้น พูดง่ายๆ คือผู้ชายชนชั้นกลางระดับสูงเท่านั้นที่เลือกตั้ง สส ได้ (Concept เดียวกับสามแสนเสียงคุณภาพอ่ะคะ)
เดนมาร์กเริ่มมีรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1849 (สมัยรัชกาลที่ 3 แห่งสยาม) และเป็นวันที่เปลี่ยนการปกครองจาก absulte monarchy เป็น constitutional monarchy แต่ในช่วงแรกนั้นก็ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยซักเท่าไร เพราะเกือบ 20% ของ สว แต่งตั้งโดยกษัตริย์เดนมาร์ก ที่เหลือแม้จะเลือกตั้ง แต่เลือกโดยชนชั้นสูง และบรรดาเจ้าสัวของประเทศ ส่วน สส ก็เลือกตั้งจากผู้ชายอายุ 25 ปีขึ้นไปที่มีที่ดินและไร้ซึ่งหนี้สินเท่านั้น พูดง่ายๆ คือผู้ชายชนชั้นกลางระดับสูงเท่านั้นที่เลือกตั้ง สส ได้ (Concept เดียวกับสามแสนเสียงคุณภาพอ่ะคะ)
 ดังนั้นตั้งแต่เริ่มมีรัฐธรรมนูญ เดนมาร์กมีแต่พรรคฝ่ายขวาจัดครองสภามาตลอด จนกระทั่งช่วงปี 1870 – 1901 สส ในสภาจากพรรคฝ่ายซ้าย (Venstre ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นพรรคกลางขวา) ขัดแย้งกับ สว เรื่องการพัฒนาประเทศไปเป็นรัฐสวัสดิการ ซึ่งแน่นอนทั้ง สส พรรครัฐบาล และ สว เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน เป็นฝ่ายขวาจัดเหมือนกัน นายกรัฐมนตรีจากพรรคขวาจัดจึงทำการระงับรัฐสภาและทำการออกกฎหมายด้วยตัวเองซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก King Christian ที่ 9 (King คนนี้ก็โด่งดังคะ ได้ฉายาเป็น The father-in-law แห่งยุโรป เพราะลูกๆ ของเขาแต่งงานกับราชวงศ์มากมายในยุโรป หนึ่งในลูกสาวของเขาคือแม่ของ The last Czars แห่งรัซเซีย)
ดังนั้นตั้งแต่เริ่มมีรัฐธรรมนูญ เดนมาร์กมีแต่พรรคฝ่ายขวาจัดครองสภามาตลอด จนกระทั่งช่วงปี 1870 – 1901 สส ในสภาจากพรรคฝ่ายซ้าย (Venstre ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นพรรคกลางขวา) ขัดแย้งกับ สว เรื่องการพัฒนาประเทศไปเป็นรัฐสวัสดิการ ซึ่งแน่นอนทั้ง สส พรรครัฐบาล และ สว เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน เป็นฝ่ายขวาจัดเหมือนกัน นายกรัฐมนตรีจากพรรคขวาจัดจึงทำการระงับรัฐสภาและทำการออกกฎหมายด้วยตัวเองซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก King Christian ที่ 9 (King คนนี้ก็โด่งดังคะ ได้ฉายาเป็น The father-in-law แห่งยุโรป เพราะลูกๆ ของเขาแต่งงานกับราชวงศ์มากมายในยุโรป หนึ่งในลูกสาวของเขาคือแม่ของ The last Czars แห่งรัซเซีย)
 จนกระทั่งปี 1901 เป็นครั้งแรกของประเทศ พรรค progressive ที่สุดในยุคนั้นอย่าง Venstre ชนะการเลือกตั้งและตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้ แต่รัฐธรรมนูญยังให้อำนาจ King ในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาจากพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง (แต่ในอดีต พรรคฝ่ายขวาจัดชนะตลอดไง ก็เลยแต่งตั้งตามผลเลือกตั้ง) แต่ King Christian ที่ 9 ก็ไม่ได้ใช้อำนาจแต่งตั้งพรรคฝ่ายขวาเป็นนายก กลับใช้อำนาจแต่งตั้งนายกจากพรรค Venstre เป็นนายรัฐมนตรีตามเจตจำนงของประชาชน ในปี 1901 เช่นกันก็มีการแก้รัฐธรรมนูญโดย King ยังมีอำนาจแต่งตั้งนายก แต่ไม่สามารถแต่งตั้งจากพรรคเสียงข้างน้อย
จนกระทั่งปี 1901 เป็นครั้งแรกของประเทศ พรรค progressive ที่สุดในยุคนั้นอย่าง Venstre ชนะการเลือกตั้งและตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้ แต่รัฐธรรมนูญยังให้อำนาจ King ในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาจากพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง (แต่ในอดีต พรรคฝ่ายขวาจัดชนะตลอดไง ก็เลยแต่งตั้งตามผลเลือกตั้ง) แต่ King Christian ที่ 9 ก็ไม่ได้ใช้อำนาจแต่งตั้งพรรคฝ่ายขวาเป็นนายก กลับใช้อำนาจแต่งตั้งนายกจากพรรค Venstre เป็นนายรัฐมนตรีตามเจตจำนงของประชาชน ในปี 1901 เช่นกันก็มีการแก้รัฐธรรมนูญโดย King ยังมีอำนาจแต่งตั้งนายก แต่ไม่สามารถแต่งตั้งจากพรรคเสียงข้างน้อย
 เดนมาร์กไม่ถือว่าเป็นประชาธิปไตย จนกระทั้งปี 1915 ซึ่งเป็นปีแรกที่ผู้หญิงเลือกตั้งได้ แต่ก็ยังมี สว อยู่ดี ซึ่ง 1/4 แต่งตั้งโดย สว ชุดก่อนหน้า 3/4 เลือกตั้งโดยประชาชนอายุตั้งแต่ 35 ในช่วงนั้นคนเลือกตั้งทั่วไปอายุอยู่ที่ 25 นั่นหมายความว่า สว ก็ยังมีแหล่งที่มาจากฝ่ายขวาจัดอยู่ดี สว เดนมาร์กไม่ได้มีอำนาจเลือกนายก แต่มีอำนาจพิจารณากฎหมาย และแน่นอนกฎหมายเปลี่ยนผ่านประเทศเป็นรัฐสวัสดิการ สว ไม่ยอมให้ผ่าน
เดนมาร์กไม่ถือว่าเป็นประชาธิปไตย จนกระทั้งปี 1915 ซึ่งเป็นปีแรกที่ผู้หญิงเลือกตั้งได้ แต่ก็ยังมี สว อยู่ดี ซึ่ง 1/4 แต่งตั้งโดย สว ชุดก่อนหน้า 3/4 เลือกตั้งโดยประชาชนอายุตั้งแต่ 35 ในช่วงนั้นคนเลือกตั้งทั่วไปอายุอยู่ที่ 25 นั่นหมายความว่า สว ก็ยังมีแหล่งที่มาจากฝ่ายขวาจัดอยู่ดี สว เดนมาร์กไม่ได้มีอำนาจเลือกนายก แต่มีอำนาจพิจารณากฎหมาย และแน่นอนกฎหมายเปลี่ยนผ่านประเทศเป็นรัฐสวัสดิการ สว ไม่ยอมให้ผ่าน
 ผ่านมาถึงปี 1933 (หนึ่งปีหลัง 2475 ในไทย) ถือว่าเป็นปีกำเนิดรัฐสวัสดิการของเดนมาร์ก การผ่านกฏหมายเปลี่ยนผ่านประเทศแบบนี้ได้ เกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง สส จากสภาล่าง และ สว จากสภาสูง อ้าวแล้วเหล่า สว ฝ่ายขวาจัด ยอมได้อย่างไร ?
ผ่านมาถึงปี 1933 (หนึ่งปีหลัง 2475 ในไทย) ถือว่าเป็นปีกำเนิดรัฐสวัสดิการของเดนมาร์ก การผ่านกฏหมายเปลี่ยนผ่านประเทศแบบนี้ได้ เกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง สส จากสภาล่าง และ สว จากสภาสูง อ้าวแล้วเหล่า สว ฝ่ายขวาจัด ยอมได้อย่างไร ?
 ปี 1929 เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก (the great depression) ส่งผลกระทบต่อยุโรปรวมทั้งเดนมาร์ก ทุกประเทศประสบปัญหาประชาชนยากจน พอถึงปี 1933 ที่เยอรมันนี ฮิตเลอร์เริ่มครองอำนาจ เดนมาร์กอยู่ในทางสามแพร่งว่าจะเป็นอะไร ฟาสซิสต์ (แบบอิตาลี) นาซี (แบบเยอรมันนี) หรือจะเป็นคอมมิวนิสต์ เดนมาร์กมีจุดแข็งอย่างหนึ่งคือ ความสามารถในการประณีประณอม (Compromise) เดนมาร์กใช้วิธีนี้สร้างการประณีประณอม สมานฉันท์ในประเทศ ในสภา ระหว่างฝ่ายขวาจัดและฝ่ายก้าวหน้า เพื่อร่วมมือกัน แทนที่จะขัดแย้งกันแล้วประเทศอาจจะพังและตกไปอยู่ในหนึ่งในสามแพร่งที่ว่า และผลของการประณีประณอมนั้นก็คือ รัฐสวัสดิการ นั่นเอง
ปี 1929 เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก (the great depression) ส่งผลกระทบต่อยุโรปรวมทั้งเดนมาร์ก ทุกประเทศประสบปัญหาประชาชนยากจน พอถึงปี 1933 ที่เยอรมันนี ฮิตเลอร์เริ่มครองอำนาจ เดนมาร์กอยู่ในทางสามแพร่งว่าจะเป็นอะไร ฟาสซิสต์ (แบบอิตาลี) นาซี (แบบเยอรมันนี) หรือจะเป็นคอมมิวนิสต์ เดนมาร์กมีจุดแข็งอย่างหนึ่งคือ ความสามารถในการประณีประณอม (Compromise) เดนมาร์กใช้วิธีนี้สร้างการประณีประณอม สมานฉันท์ในประเทศ ในสภา ระหว่างฝ่ายขวาจัดและฝ่ายก้าวหน้า เพื่อร่วมมือกัน แทนที่จะขัดแย้งกันแล้วประเทศอาจจะพังและตกไปอยู่ในหนึ่งในสามแพร่งที่ว่า และผลของการประณีประณอมนั้นก็คือ รัฐสวัสดิการ นั่นเอง
 สุดท้ายในปี 1953 มีการแก้รัฐธรรมนูญอีกครั้งและเป็นครั้งล่าสุด โดยยุบสภาสูง และสว รวมทั้งให้ ชายหรือหญิง เป็นประมุขของประเทศได้ คือมี King หรือ Queen ได้
สุดท้ายในปี 1953 มีการแก้รัฐธรรมนูญอีกครั้งและเป็นครั้งล่าสุด โดยยุบสภาสูง และสว รวมทั้งให้ ชายหรือหญิง เป็นประมุขของประเทศได้ คือมี King หรือ Queen ได้
*รูปในโพสต์คือ รัฐสภาเดนมาร์ก มีรูปปั้น King Frederik ที่ 7 เป็นกษัตริย์ที่ยอมให้เดนมาร์กมีรัฐธรรมนูญ

