โดย ชาย วีรพล
ระบบที่ไม่ขึ้นกับคน แต่ขึ้นกับกระบวนการ เป็นสิ่งที่สังคมไทยต้องการ …และเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในการสร้าง
หาดใหญ่จมน้ำ 2.5 เมตร ความเสียหาย 25,000 ล้านบาท
คำถามที่ทุกคนถาม: “ทำไมยุโรปจัดการน้ำท่วมได้ แต่ไทยทำไม่ได้?”
คำตอบไม่ใช่ “เพราะเขารวย”
เนเธอร์แลนด์มีองค์กรจัดการน้ำอายุ 800 ปี ที่ไม่เปลี่ยนตามรัฐบาล
โคเปนเฮเกนโดนน้ำท่วมปี 2011 ใน 18 เดือนมีแผนแม่บท 20 ปี
ลูบลิยานา สโลวีเนีย เมืองในแอ่งล้อมภูเขาเหมือนหาดใหญ่ ลงทุน 19,000 ล้านบาท สำหรับการปรับตัว
คำถามจริงคือ: เราจะเชื่อแผน 10 ปีของรัฐบาลไทยไหม เมื่อรู้ว่าอีก 4 ปีอาจเปลี่ยนรัฐบาล?
ยุโรปสร้างความไว้ใจนี้ได้ยังไง
เมื่อน้ำท่วมหาดใหญ่สูง 2.5 เมตร ส่งผลกระทบเกือบ 700,000 คน และสร้างความเสียหาย 25,000 ล้านบาทในหนึ่งเดือน คำถามที่คนไทยในยุโรปถามกันมากที่สุดคือ “ทำไมที่นี่เขาจัดการได้ แต่บ้านเราทำไม่ได้?”
คำตอบง่ายๆ ที่เราเคยได้ยินคือ “เพราะเขารวย” แต่นั่นไม่ใช่คำตอบจริง เพราะถ้ารวยพอก็แก้ได้ ประเทศไทย GDP อันดับ 25 ของโลก ไม่ใช่ประเทศจน แต่ทำไมทุกครั้งที่ฝนตกหนัก เราก็กลับมาจมน้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในขณะที่เนเธอร์แลนด์ที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล คนเดนมาร์กที่ฝนตก 1,000 ปีในปี 2011 หรือแม้แต่เมืองเล็กๆ ในเยอรมนีที่เจอน้ำท่วมใหญ่ปี 2013 วันนี้พวกเขามีระบบที่ทำงาน?
คำตอบจริงไม่ใช่เงิน แต่เป็น
กระบวนการ ความไว้ใจ และ ความอดทน
สามสิ่งนี้ที่สังคมไทยต้องการ และเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในการสร้าง
เนเธอร์แลนด์วางแผนมา 800 ปี ไทยวางแผนได้กี่ปี?
ถามตัวเองดู เมื่อคุณได้ยินว่า “รัฐบาลมีแผน 10 ปีจัดการน้ำท่วม” คุณเชื่อไหมว่า 10 ปีข้างหน้ายังมีแผนนี้อยู่? หรือว่าอีก 4 ปี พอเปลี่ยนรัฐบาล แผนนี้ก็จะหายไปกับคณะรัฐมนตรีชุดเก่า?
นี่คือความแตกต่างพื้นฐานระหว่างยุโรปกับไทย ที่เนเธอร์แลนด์ องค์กรที่จัดการน้ำชื่อ Waterschap (คณะกรรมการน้ำ) มีอายุ 800 ปี เก่ากว่ารัฐบาลเนเธอร์แลนด์เอง องค์กรเหล่านี้มีการเลือกตั้งเป็นของตัวเอง เก็บภาษีได้เอง และที่สำคัญ ไม่ขึ้นกับวงจรการเมือง 4 ปี พวกเขาทำงานเดียวกันมา 8 ศตวรรษ ไม่ว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนกี่ครั้ง
คำขวัญโบราณของชาวดัตช์บอกว่า “Wie het water deert, die het water keert” แปลว่า “คนที่ถูกน้ำทำร้าย ต้องเป็นคนหยุดน้ำเอง” นี่ไม่ใช่เพียงคำพูด แต่เป็นปรัชญาที่ฝังลึกในสังคม เวลาเนเธอร์แลนด์จะทำโครงการอะไร พวกเขาไม่ได้ถามว่า “รัฐบาลชุดนี้อยู่ได้กี่ปี” แต่ถามว่า “ระบบนี้จะทำงานได้ 100 ปีไหม”
โปรแกรม Room for the River (ให้พื้นที่กับแม่น้ำ) ใช้เงิน 2.3 พันล้านยูโร ทำงานตั้งแต่ปี 2006 ถึง 2018 นานกว่าสามสมัยรัฐบาล แต่ไม่มีรัฐบาลไหนมายกเลิกโครงการ ไม่มีรัฐมนตรีคนไหนมาประกาศว่า “นโยบายเก่าล้าสมัยแล้ว เราจะมาทำแบบใหม่” เพราะทุกคนรู้ว่านี่ไม่ใช่นโยบายของพรรคการเมือง แต่เป็นระบบของประเทศ
ยิ่งไปกว่านั้น Delta Act ที่ผ่านในปี 2012 กำหนดให้รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณ 1.25 พันล้านยูโรต่อปี (ประมาณ 48,000 ล้านบาท) ตรงไปที่ Delta Fund จนถึงปี 2050 โดยไม่มีรัฐบาลไหนเปลี่ยนได้ และตำแหน่ง Delta Commissioner (ผู้บัญชาการแผนปฏิบัติการเดลต้า) อยู่วาระคนละ 7 ปี ไม่ใช่ 4 ปีตามวาระรัฐบาล เขาต้องรายงานต่อรัฐสภาทุกปีในวันเจ้าชาย (Prince’s Day) ไม่ว่ารัฐบาลจะเป็นพรรคไหน
คำถามคือ ในประเทศไทย เราจะสร้างระบบที่รอดพ้นจากวงจรการเมือง 4 ปีได้อย่างไร ถ้าทุกครั้งที่เปลี่ยนรัฐบาล กระทรวงที่จัดการน้ำก็เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนคน เปลี่ยนแผน?
โคเปนเฮเกนโดนน้ำท่วมครั้งเดียว เปลี่ยนเมืองทั้งเมือง
วันที่ 2 กรกฎาคม 2011 กรุงโคเปนเฮเกนโดนฝนตก 150 มิลลิเมตรใน 3 ชั่วโมง นี่คือ “พายุรอบ 1,000 ปี” น้ำท่วมทั้งเมือง ความเสียหาย 1.6 พันล้านยูโร (ประมาณ 60,000 ล้านบาท) เป็นภัยธรรมชาติที่แพงที่สุดในยุโรปปีนั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาทำให้โคเปนเฮเกนต่างจากหาดใหญ่ ภายใน 18 เดือน เมือนี้มีแผนแม่บท 20 ปี เรียกว่า Cloudburst Management Plan งบประมาณ 1.5-1.7 พันล้านยูโร มี 300 โครงการทั่วเมือง ไม่ใช่แผนฉุกเฉิน ไม่ใช่แผนรับมือวิกฤต แต่เป็นแผนเปลี่ยนโครงสร้างเมือง
สิ่งที่พวกเขาทำไม่ใช่การขุดท่อใหญ่ขึ้น สูบน้ำแรงขึ้น หรือสร้างกำแพงสูงขึ้น แต่เป็นการยอมรับว่าฝนจะตกหนักบ่อยขึ้น และออกแบบเมืองให้อยู่กับน้ำได้ ถนนกลายเป็นคลองน้ำชั่วคราวเวลาพายุ สวนสาธารณะกลายเป็นสระเก็บน้ำยักษ์ พื้นที่จอดรถกลายเป็นที่รองรับน้ำ เรียกว่า “Blue-Green Infrastructure”
Enghaveparken สวนสาธารณะที่สร้างปี 1920 ถูกดัดแปลงให้กลายเป็น “สวนป้องกันภัยพิบัติ” เก็บน้ำได้ 22,600 ลูกบาศก์เมตร (เทียบได้เกือบ 6 ล้านแกลลอน) เวลาพายุมา ประตูอัตโนมัติจะยกขึ้นมาจากพื้น ปิดล้อมสวน แล้วปล่อยให้น้ำไหลเข้ามาเต็ม ระบบนี้ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า ทำงานด้วยกลไกอัตโนมัติ และออกแบบมาใช้งานได้ 100 ปี
ที่สำคัญ ทำไมชาวเมืองยอมรับ? เพราะมีการคำนวณให้เห็นว่าคุ้ม การวิเคราะห์พบว่าถ้าทำแบบ Blue-Green จะได้ผลประโยชน์มากกว่าการขุดท่อใต้ดินอย่างเดียว ถึง 9 พันล้านโครนเดนมาร์ก (ประมาณ 45,000 ล้านบาท) ในระยะ 100 ปี ราคาบ้านใกล้สวนสาธารณะที่ปรับปรุงใหม่เพิ่มขึ้น 1.4 พันล้านโครน และโครงการนี้สร้างงานก่อสร้าง 13,000-15,000 ตำแหน่ง
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ปี 2013 เดนมาร์กเปลี่ยนกฎหมายให้การประปา (HOFOR) สามารถลงทุนทำระบบบนพื้นดินได้ ไม่ใช่แค่ท่อใต้ดิน ทำให้ได้สัดส่วนงบประมาณ 75% จากการประปา 25% จากเทศบาล นี่คือการเปลี่ยนกติกาเพื่อให้ทำงานได้จริง ไม่ใช่การร้องว่า “ไม่มีงบประมาณ”
คำถามคือ เมืองไทยพร้อมที่จะเปลี่ยนกฎหมาย เปลี่ยนกติกา เพื่อให้การประปาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถลงทุนในระบบที่แปลกใหม่แบบนี้ได้หรือไม่? หรือเราจะยังติดอยู่กับความคิดว่า “ต้องทำตามระเบียบเดิม” ทั้งๆ ที่ระเบียบเดิมไม่เคยแก้ปัญหาได้เลย?
เยอรมนีพิสูจน์แล้วว่า “ให้พื้นที่กับแม่น้ำ” มันได้ผลจริง
หลายคนอาจนึกว่าแนวคิด “ให้พื้นที่กับแม่น้ำ” เป็นทฤษฎีสวยหรู แต่เวลาน้ำท่วมจริงๆ มันก็ไม่ช่วยอะไร เยอรมนีมีหลักฐานพิสูจน์ว่ามันได้ผลจริง
โครงการ Lenzen Dike Relocation บนแม่น้ำเอลเบ เป็นโครงการ “ถอยคันกั้นน้ำ” ที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี 420 เฮกตาร์ ความคิดง่ายๆ คือ แทนที่จะสร้างคันกั้นน้ำให้สูงขึ้น พวกเขาเลื่อนคันกั้นน้ำออกไปข้างหลัง เพื่อให้แม่น้ำมีพื้นที่ล้นได้
ตอนมีน้ำท่วมในเดือนมกราคม 2011 ระบบนี้ทำงาน ระดับน้ำในพื้นที่ลดลง 40-50 เซนติเมตร และน้ำ 36% ถูกดูดไปยังพื้นที่รองรับที่คืนสภาพกลับมา ตัวเลขนี้มาจากการวัดจริง ไม่ใช่ประมาณการ
มิวนิก เมืองใหญ่อันดับ 3 ของเยอรมนี ใช้เวลา 11 ปี (2000-2011) และเงิน 35 ล้านยูโร ขยายแม่น้ำอิซาร์จาก 50 เมตร เป็น 90 เมตร ตรงกลางเมือง คืนลักษณะธรรมชาติให้กับแม่น้ำ เพิ่มความสามารถรองรับน้ำท่วม และสร้างพื้นที่สันทนาการให้ประชาชน เวลาน้ำท่วมใหญ่ปี 2005 บริเวณที่ปรับปรุงใหม่เสียหายน้อยกว่าที่อื่นมาก วันนี้มีผู้คนมาใช้พื้นที่ 30,000 คนในวันหยุดสุดสัปดาห์
ฮัมบูร์ก เลือกใช้วิธีที่แปลก ไม่สร้างกำแพงกั้นน้ำ แต่ยกพื้นที่พัฒนาเมืองใหม่ HafenCity ทั้งหมดขึ้นมาอยู่บนเนินสูง 7.5-9 เมตร จากระดับน้ำทะเล อาคารทุกหลังตั้งอยู่บนเนินเทียม ชั้นล่างใช้กระจกกันน้ำและประตูกันน้ำ ทางเดินริมน้ำออกแบบให้น้ำท่วมได้ในช่วงสั้นๆ โครงการมูลค่า 13 พันล้านยูโร นี่คือการออกแบบเมืองใหม่ให้อยู่กับน้ำได้ตั้งแต่แรก ไม่ใช่รอจนน้ำท่วมแล้วค่อยมาแก้
เยอรมนีทำแบบนี้ได้เพราะในปี 1962 พายุเหนือทะเลเหนือทำให้น้ำท่วมฮัมบูร์ก คนตาย 315 ราย เมือง 1 ใน 6 จมน้ำ 60,000 คนไร้บ้าน หลังจากนั้น 60 ปี เยอรมนีไม่เคยหยุดลงทุน วันนี้ฮัมบูร์กมีคันกั้นน้ำ 78 กิโลเมตร ประตูป้องกันพายุ 6 แห่ง และประตูกันน้ำท่วม 38 แห่ง
คำถามสำหรับหาดใหญ่ เราจะยังคิดว่า “คันกั้นน้ำสูงขึ้น” คือคำตอบหรือ? หรือเราจะเริ่มคิดว่า บางทีเราควรยอมให้น้ำไหล แต่ออกแบบว่ามันจะไหลไปไหน แทนที่จะพยายามสกัดทุกหยด?
ลูบลิยานา: เมืองที่คล้ายหาดใหญ่มากที่สุด
ถ้าจะหาเมืองในยุโรปที่คล้ายหาดใหญ่มากที่สุด คำตอบคือ Ljubljana เมืองหลวงของสโลวีเนีย
ลูบลิยานาตั้งอยู่ในแอ่งที่ล้อมรอบด้วยภูเขา เหมือนหาดใหญ่ทุกประการ มี Ljubljana Marsh พื้นที่ชุ่มน้ำขนาด 163 ตารางกิโลเมตรทางใต้เมือง น้ำขังง่าย ระบายช้า บวกกับภูมิประเทศแบบคาร์สต์ที่ทำให้น้ำใต้ดินเต็มเร็วมาก และที่แย่กว่า พื้นที่แอ่งนี้กำลังทรุดตัวปีละ 1 เซนติเมตร เพราะแผ่นดินเคลื่อนตัว
น้ำท่วมใหญ่ปี 2010 2014 และ 2023 (183 เมืองจาก 212 เมืองได้รับผลกระทบ) ทำให้สโลวีเนียตัดสินใจลงทุน 500 ล้านยูโร (ประมาณ 19,000 ล้านบาท) สำหรับการปรับตัว
โครงการ Gradaščica River Basin มีมาตรการป้องกันน้ำท่วมมากกว่า 180 โครงการทั่วลุ่มน้ำ เฟสแรกปกป้องประชาชน 18,000 คน ด้วยกำแพงกันน้ำ คันกั้นน้ำ ขยายช่องทางน้ำ และที่สำคัญ คลองระบายน้ำสำรองยาว 1.6 กิโลเมตร
ที่น่าสนใจคือ งบประมาณส่วนหนึ่งมาจากกองทุน EU นี่คือข้อดีของการเป็นสมาชิก EU คุณไม่ได้ลำพังในการจัดการภัยพิบัติ คำถามคือ ประเทศไทยจะสร้างกลไกการช่วยเหลือระหว่างประเทศในอาเซียนแบบนี้ได้หรือไม่? หรือทุกประเทศจะต้องแก้ปัญหาน้ำท่วมด้วยตัวเองตลอดไป?
ความจริงที่ไม่มีใครอยากพูด: เราไม่เชื่อระบบของเราเอง
มีข้อเท็จจริงหนึ่งที่พบในทุกประเทศที่จัดการน้ำท่วมได้ดี การลงทุนป้องกันน้ำท่วมคืนทุน 8-15 เท่า เมื่อเทียบกับการรอจนน้ำท่วมแล้วค่อยมาซ่อมแซม ในยุโรป ค่าป้องกันน้ำท่วมชายฝั่งคืนทุน 8.3-14.9 เท่า โครงการรองรับน้ำท่วมริมแม่น้ำคืนทุน 4 เท่า กำแพงป้องกันน้ำท่วมของกรุงปรากที่ใช้เงิน 146 ล้านยูโร ช่วยป้องกันความเสียหาย 2.9 พันล้านยูโร คืนทุน 20 เท่า
ตัวเลขชัดเจนขนาดนี้ ทำไมเราไม่ทำ?
ปัญหาไม่ใช่ว่าเราไม่รู้ว่าควรทำอะไร ข้อมูลเหล่านี้มีในรายงานของรัฐบาลไทยเองมาหลายสิบปี แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ไม่มีใครเชื่อว่าระบบจะทำงานได้จริง
ถ้าคุณเป็นผู้รับเหมา คุณจะเสนอโครงการ 10 ปีที่ทำกำไรน้อย แต่ประโยชน์กระจายไปคนอื่นหรือ? หรือคุณจะเสนอโครงการ 1 ปี ที่ทำเสร็จไว ทำกำไรชัดเจน เก็บภาพปลัดมนตรีมาตัดริบบิ้นได้?
ถ้าคุณเป็นข้าราชการ คุณจะอุทิศตัวทำโครงการที่จะเสร็จหลังคุณเกษียณหรือ? หรือคุณจะทำโครงการที่เสร็จภายในวาระของหัวหน้าคุณ เพื่อจะได้เลื่อนตำแหน่ง?
ถ้าคุณเป็นนักการเมือง คุณจะทุ่มงบประมาณให้โครงการที่จะแล้วเสร็จพอดีรัฐบาลหน้า แล้วคนอื่นได้ชื่อหรือ? หรือคุณจะทำโครงการเล็กๆ หลายอัน ที่ตัดริบบิ้นได้บ่อย ออกข่าวได้เยอะ แม้จะไม่แก้ปัญหาจริงจัง?
และถ้าคุณเป็นประชาชน คุณจะเชื่อแผน 10 ปีของรัฐบาลไหม เมื่อรู้ว่าอีก 4 ปีอาจเปลี่ยนรัฐบาล? คุณจะลงทุนปรับบ้านให้พร้อมรับน้ำท่วมไหม ถ้าไม่รู้ว่า สระเก็บน้ำที่รัฐสร้างไว้ 5 ปี จะมีคนมาถมเพื่อทำบ้านจัดสรรหรือเปล่า?
นี่คือปัญหาของ “ความไว้ใจ” เนเธอร์แลนด์ทำได้เพราะเขามี Waterschap ที่อายุ 800 ปี คนดัตช์รุ่นปู่ย่าตายายรู้จักองค์กรนี้ รุ่นพ่อแม่รู้จัก รุ่นลูกหลานรู้จัก และรู้ว่ามันจะอยู่ต่อไปอีกหลายร้อยปี มันไม่เปลี่ยนตามรัฐบาล มันไม่เปลี่ยนตามกระแส คุณจึงกล้าเชื่อ กล้าลงทุน กล้าปรับตัว
แต่ในประเทศไทย ระบบเปลี่ยนตลอดเวลา กระทรวงจัดการน้ำเปลี่ยนชื่อหลายครั้ง หน่วยงานควบคุมน้ำท่วมก็เปลี่ยนทุกรัฐบาล แผนแม่บทเขียนไว้สวยงาม แต่ไม่มีใครมั่นใจว่า 5 ปีข้างหน้ายังมีแผนนี้อยู่หรือเปล่า
คำถามที่คนไทยอาจต้องถามตัวเอง
เรามักคิดว่า การที่อยู่ต่างประเทศ หน้าที่เราคือส่งเงินช่วยเหลือ บริจาคสิ่งของ หรืออาจจะ “นำเทคโนโลยีไปใช้” แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่บ้านเราขาดที่สุดไม่ใช่เทคโนโลยี แต่คือ “วิธีคิด”
ยุโรปไม่ได้มีเทคโนโลยีอะไรที่ไทยหาไม่ได้ ปั๊มน้ำใช้ปั๊มเดียวกัน คอนกรีตใช้แบบเดียวกัน แต่ที่ต่างคือ วิธีการตัดสินใจ วิธีการวางแผน วิธีการสร้าง “ระบบที่ไม่ขึ้นกับคน แต่ขึ้นกับกระบวนการ”
คำถามที่ชาวไทยควรนำกลับไปถามคือ
เรื่องความไว้ใจ: ถ้ารัฐบาลประกาศแผน 10 ปี คุณจะเชื่อไหมว่าอีก 10 ปีแผนนี้จะยังอยู่? ถ้าไม่เชื่อ ทำไมเราจะคาดหวังให้วิศวกรออกแบบระบบที่ยืดหยุ่นระยะยาว ให้ผู้รับเหมายอมทำกำไรน้อย ให้ราษฎรยอมปรับตัว? ทุกอย่างเริ่มที่ “ความไว้ใจในกระบวนการ” ไม่ใช่ความไว้ใจในคน
เรื่องนิยามวิกฤต: รัฐบาลไทยคิดว่า “น้ำท่วม” คืออะไร? คือ “วิกฤต” ที่เกิดทุก 5-10 ปี แล้วเราต้องมา “ช่วยเหลือ” หรือคือ “เหตุการณ์ปกติ” ที่จะเกิดบ่อยขึ้นทุกปี และเราต้อง “ปรับตัว”? ถ้ายังคิดว่าเป็นวิกฤต เราก็จะแก้ไขแบบฉุกเฉินตลอดไป แต่ถ้าเริ่มคิดว่าเป็นเหตุการณ์ปกติ เราจะเริ่มออกแบบเมืองใหม่
เรื่องความอดทน: ประเทศไทยพร้อมที่จะลงทุนโครงการ 20 ปี ที่ไม่มี “ภาพ” ให้ตัดริบบิ้นในปีแรก ไม่มี “ผลงาน” เด่นชัดให้อวดในช่วงรณรงค์เลือกตั้ง แต่ใน 20 ปีนั้น เมืองจะเปลี่ยน ชีวิตผู้คนจะดีขึ้น และน้ำท่วมจะลดลงจริงจังหรือไม่?
เรื่องกฎกติกา: เรายินดีที่จะเปลี่ยนกฎหมาย เปลี่ยนระเบียบ ที่กั้นขวางการทำงานแบบใหม่หรือไม่? เช่น ให้การประปาลงทุนทำสวนกันน้ำท่วมได้ ให้เทศบาลซื้อที่ดินเพื่อคืนพื้นที่ให้แม่น้ำได้ หรือเราจะยังติดกับ “ระเบียบเดิม” ที่ออกแบบมาจากยุคที่ไม่มีวิกฤตสภาพภูมิอากาศ?
สิ่งที่ชาวไทยในต่างแดนทำได้ ไม่ใช่แค่ส่งเงิน แต่คือ ตั้งคำถามเหล่านี้ ส่งกลับไป เขียนกลับไป พูดกลับไป เพื่อให้สังคมไทยเริ่มคิดว่า บางที “วิธีคิด” สำคัญกว่า “เทคโนโลยี” บางที “กระบวนการ” สำคัญกว่า “โครงการ” บางที “ระบบที่ยั่งยืน” สำคัญกว่า “ผลลัพธ์ทันที”
หาดใหญ่จมน้ำ ไม่ใช่เพราะขาดเงิน แต่เพราะขาดความไว้ใจ ขาดความอดทน และขาดความกล้าที่จะเปลี่ยนวิธีคิด
น้ำท่วมในอนาคตอาจไม่ใช่ภัยพิบัติ ถ้าเราออกแบบให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า เราจะกล้าเชื่อในกระบวนการที่ใช้เวลา 10-20 ปีหรือไม่ เมื่อรู้ดีว่า อีก 4 ปีอาจเปลี่ยนรัฐบาล?
เกี่ยวกับผู้เขียน

ชาย ในระบบโรงเรียน เขาศึกษามาทางด้านวิศวกรรมโยธา มีประสบการณ์ด้านวิชาการเกี่ยวกับน้ำและสภาพอากาศ เขาก้าวเข้าสู่วงการ Startup มีความสนใจในการขับเคลื่อนภาคประชาชน โดยมองผ่านด้าน non-technical เช่น ศิลปะ ประวัติศาสตร์ และการเมือง เขายังมีโอกาสคลุกคลีกับศิลปินที่มีความหลากหลายและมุมมองที่แตกต่าง ทำให้เขาได้เรียนรู้และเปิดรับแนวคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับโลก
ปัจจุบันเขาทำงานในด้าน IoT และการบริหารจัดการพลังงาน
