Thalay Space: มองอนาคตประเทศไทยข้ามพรมแดน จากโคเปนเฮเกน

Series: Thalay Space

มองไกลกว่าพรมแดน ร่วมสร้างพิมพ์เขียวอนาคตไทย

Smart City

บทความนี้เป็นการสรุปและเรียบเรียงเนื้อหาจากวงสนทนา Thalay Space – Thailand Beyond Borders [Live in Copenhagen] ที่จัดขึ้น ณ กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก

งานนี้เป็นความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง Thalay และ สมาคมนักเรียนและศิษย์เก่าไทยในเดนมาร์ก (TSAAD) โดย ภูกฤษณ์ เรืองศรีไชยะ (เทอร์โบ) ประธานสมาคมฯ ซึ่งได้เปิดพื้นที่ชวนคนไทยในต่างแดนมาร่วมขบคิด ตั้งคำถาม และมองหาโอกาสสำหรับอนาคตของประเทศไทย จากมุมมองที่ไกลกว่าเส้นพรมแดน

วงสนทนานี้เต็มไปด้วยความเข้มข้นจากผู้เข้าร่วมหลากหลายสาขาอาชีพ ตั้งแต่นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษา ไปจนถึงผู้ประกอบการ โดยมีวิทยากรหลักสองท่านมาร่วมจุดประกายความคิด คือ ดร.ปรีดี หงษ์สต้น (แจ่ว) นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านไทยศึกษา และ ดร.พิมพ์ลภัส ลี้กิจเจริญผล (ชินนี่) นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในเดนมาร์ก ผู้ซึ่งสนใจการเมืองร่วมสมัยและสุขภาพ โดยมองสังคมไทยผ่านแว่นตาที่เฉียบคม

นอกจากวิทยากรหลักแล้ว งานนี้ยังได้รับเกียรติจากผู้เข้าร่วมที่ร่วมแนะนำตัวในช่วงต้นอย่างหลากหลาย อาทิ คุณมด ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในการจัดการและดูแลการสนทนา, รวมถึงนักวิจัย นักศึกษา และผู้ที่มาแบ่งปันประสบการณ์ข้ามพรมแดนอันทรงคุณค่า อาทิ คุณมัสมั่น (เภสัชกรไทยในนอร์เวย์) ที่ได้เล่าถึงการทลายภาพเหมารวม (stereotype) และการสร้างอาชีพในต่างแดน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า Thalay Space คือพื้นที่สำหรับคนไทยทุกคนในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเท่าเทียมและหลากหลาย

ภาพจำประเทศไทย: เราคือใครในสายตาโลก?

วงสนทนาเริ่มต้นอย่างน่าสนใจด้วยกิจกรรมสำรวจความคิดเห็นผ่าน thalay.eu/survey ที่ชวนผู้เข้าร่วมสะท้อน “ภาพจำ” ของประเทศไทยในสายตาชาวต่างชาติ ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่น่าแปลกใจนัก สามคำหลักที่โดดเด่นขึ้นมาคือ อาหาร (Food) การท่องเที่ยว (Tourism) และ ผู้คน (People) ซึ่งรวมถึงรอยยิ้ม วัฒนธรรม LGBTQ+ และมวยไทย ในภาพรวมผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่มองว่า ประเทศไทยถูกมองจากโลกภายนอกในแง่บวก (Positive) แต่ยังมีความท้าทาย (Challenging) ซ่อนอยู่ สิ่งเหล่านี้คือ “ซอฟต์พาวเวอร์” ที่เป็นภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งของไทยในเวทีโลก

เมื่อชาวต่างชาติถามเกี่ยวกับประเทศไทย สิ่งที่พวกเขามักจะพูดถึงเป็นอย่างแรกคืออะไร

แต่เมื่อมองให้ลึกลงไป ดร. ปรีดี หงษ์สต้น ได้ชวนให้เราทบทวนประวัติศาสตร์และความเข้าใจเกี่ยวกับ “ความเป็นไทย” ที่ซับซ้อนกว่านั้น ผ่านมุมมองของ “ไทยศึกษา” (Thai Studies) ในโลกตะวันตก ซึ่งพยายามทำความเข้าใจประเทศไทยด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์

ดร. ปรีดี ชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญว่า แนวคิดที่ว่า “ประเทศไทยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้น” ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยหลายคน อาจทำให้เรามองข้ามประสบการณ์ร่วมทางประวัติศาสตร์กับประเทศเพื่อนบ้าน และสร้างมุมมองว่าเรา “พิเศษ” กว่าชาติอื่น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว สยามเองก็เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและแรงกดดันไม่ต่างจากชาติที่ตกเป็นอาณานิคม และในขณะเดียวกัน ก็ได้กระทำการ “ล่าอาณานิคมภายใน” (Internal Colonization) กับดินแดนหัวเมืองต่างๆ เช่น ล้านนา ปัตตานี หรืออีสานเช่นกัน การกระทำของกรุงเทพฯ ต่อหัวเมืองเหล่านี้ มีลักษณะไม่ต่างจากการที่มหาอำนาจตะวันตกกระทำต่อดินแดนอาณานิคม

มุมมองทางประวัติศาสตร์นี้ชวนให้เราตั้งคำถามกับมายาคติเรื่องความพิเศษ และหันมาทำความเข้าใจประเทศไทยในฐานะส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์โลกที่เชื่อมโยงถึงกัน เพื่อสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ต่อวาทกรรมชาตินิยมที่อาจบิดเบือนความจริง

คุณคิดว่าปัจจุบันประเทศไทยถูกมองจากสายตาของคนต่างชาติอย่างไร

ภาพสะท้อนจากคนไกลบ้าน: ความจริงที่ซ่อนอยู่ในซอฟต์พาวเวอร์

เมื่อคำถามเปลี่ยนจากการมองของ “คนนอก” มาสู่มุมมองของ “คนไทยในต่างแดน” ที่มองกลับไปยังบ้านเกิด ภาพที่สะท้อนออกมากลับมีความซับซ้อนและเจ็บปวดซ่อนอยู่

ดร. พิมพ์ลภัส ลี้กิจเจริญผล ได้หยิบยกข้อเขียนของ ส. ธรรมยศ นักคิดหัวก้าวหน้าเมื่อเกือบร้อยปีก่อน ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์สังคมไทยไว้อย่างเฉียบขาดและยังคงเป็นจริงอย่างน่าตกใจมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่ว่า…

“ในประเด็นความฉลาดนั้น คนไทยเป็นเด็กตั้งแต่เกิดจนตาย… ชาติไทยไม่เคยได้กำเนิดนักวิทยาศาสตร์หลักของโลกแม้แต่หนึ่งคน”

“คติคนไทยที่มักสอนกันด้วยคำสอนว่า ‘นกน้อยทำรังแต่พอตัว’ ทำให้ไม่สนใจในการบริหารการจัดการที่มีประสิทธิภาพ”

“สยามประเทศ อุปมาดั่งเป็นดรุณียากจน ที่แต่งกายตามสมัยนิยม เธอมีและพยายามมีอะไรทุกอย่างเช่นที่โลกมี แต่เธอมีเรือนร่าง… ทุกวันทุกมื้อ เธอเสพอาหารอันทรามคุณค่า”

ให้คะแนนภาพลักษณ์ของประเทศไทยในระดับนานาชาติปัจจุบันอย่างไร

ข้อเขียนเหล่านี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึก สอดคล้องกับผลสำรวจที่ผู้เข้าร่วมได้ให้คะแนนภาพลักษณ์ประเทศไทยในด้านต่างๆ โดยพบว่าภาพลักษณ์ที่โดดเด่นและได้คะแนนสูงสุด (Rating 4.x/5) คือ การท่องเที่ยว (Tourism) และอาหาร (Food) แต่ในทางกลับกัน รากฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศกลับอ่อนแอ โดยเฉพาะในด้านที่ได้คะแนนรั้งท้ายอย่างน่าใจหาย ได้แก่ เสถียรภาพทางการเมือง (Political Stability) การพัฒนาเศรษฐกิจ (Economic Development) และ การศึกษา (Education)

ภาพนี้ชี้ให้เห็นความจริงที่น่ากังวลว่า ประเทศไทยอาจกำลังขับเคลื่อนด้วย “บุญเก่า” จากวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติ ในขณะที่รากฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศกลับอ่อนแอและขาดเสถียรภาพ

ทางออกจากวิกฤตการเมือง สู่โอกาสแห่งอนาคต

บทสนทนาดำดิ่งสู่ประเด็นที่เปราะบางที่สุด นั่นคือ เสถียรภาพทางการเมือง ดร. พิมพ์ลภัส เสนอมุมมองที่น่าสนใจว่า วิกฤตการเมืองและวงจรรัฐประหารในไทยไม่ได้เกิดจากกองทัพเพียงฝ่ายเดียว แต่เกิดจากวัฒนธรรมทางการเมืองที่ “ไม่ไว้วางใจ” รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เมื่อใดก็ตามที่ “สลิ่ม” หรือกลุ่มคนผู้มีอำนาจทางศีลธรรมไม่พอใจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็พร้อมจะออก “บัตรเชิญ” ให้ทหารเข้ามาแทรกแซง

ทางออกที่ ดร. พิมพ์ลภัส เสนอ ไม่ใช่การหาทางลัด แต่คือการสร้างความอดทนและเคารพในกระบวนการประชาธิปไตยขั้นพื้นฐานที่สุด นั่นคือ “การทนอยู่กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งให้ครบวาระ 4 ปี” แม้จะไม่ถูกใจก็ตาม เพื่อสร้างความไว้วางใจ (Trust) ในระบบให้เกิดขึ้น ดังที่คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้กล่าวไว้ว่า “ก็เนอะ ประชาชนเขาเลือกมา”

ประเด็นนี้เชื่อมโยงโดยตรงไปถึงการพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษา เพราะดังที่ ดร. ปรีดี เสริมว่า “การเมืองนำเศรษฐกิจ” หากการเมืองไร้เสถียรภาพ การลงทุนและการวางนโยบายระยะยาวก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้

จัดอันดับ: ภาคส่วนใดที่ให้โอกาสดีที่สุดสำหรับประเทศไทยในระดับโลก

แล้วโอกาสของประเทศไทยอยู่ตรงไหน? ในเมื่อโอกาสในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอาจหลุดลอยไปแล้ว คำตอบที่ทรงพลังจากวงสนทนาคือ “เศรษฐกิจสุขภาวะ” (Wellness Economy) ซึ่งสอดคล้องกับการจัดอันดับศักยภาพที่ผู้เข้าร่วมมองว่ามีโอกาสมากที่สุด โดย ‘Wellness Economy’ ถูกโหวตให้เป็นอันดับ 1 ในฐานะภาคส่วนที่มอบโอกาสที่ดีที่สุดแก่ประเทศไทยในเวทีโลก ตามมาด้วย Food Technology และ Creative Economy

ดร. พิมพ์ลภัส ชี้ว่านี่คือตลาดโลกขนาดมหึมาที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และประเทศไทยมีศักยภาพครบทุกด้าน:

  • อาหารและสมุนไพร: ต่อยอดจากครัวไทยสู่โลกด้วยการสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์คุณค่า (Scientifically Proven) ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
  • ความงาม (Beauty): แบรนด์เครื่องสำอางไทย โดยเฉพาะกันแดดที่เหมาะกับอากาศร้อนชื้น กำลังได้รับความนิยมและมีโอกาสเติบโตอีกมาก
  • การออกกำลังกาย: ผลักดัน “มวยไทย” ให้เป็นมาตรฐานสากลเช่นเดียวกับโยคะ สร้างระบบรับรองครูมวยที่มีคุณภาพ
  • สุขภาวะทางจิต (Mental & Spiritual Wellness): ประเทศไทยมีต้นทุนทางวัฒนธรรมทั้งการปฏิบัติธรรม การเจริญสติ ที่หาใครเทียบได้ยาก

ที่สำคัญที่สุด เศรษฐกิจสุขภาวะสามารถกระจายรายได้ไปสู่คนทุกระดับ ตั้งแต่เกษตรกรไปจนถึงผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นทางรอดที่ยั่งยืนกว่าการพึ่งพาเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว

สร้างพิมพ์เขียวของเราเอง (Creating Our Own Blueprint)

บทสนทนาปิดท้ายด้วยเรื่องราวที่น่าประทับใจจากคุณมัสมั่น เภสัชกรไทยในนอร์เวย์ ที่เล่าถึงประสบการณ์การต่อสู้กับภาพลักษณ์เหมารวม (stereotype) ของหญิงไทย และการสร้าง “พิมพ์เขียว” ให้กับชีวิตตัวเองด้วยความสามารถและความมุ่งมั่น โดยใช้วิธีการที่คนนอร์เวย์คาดไม่ถึงอย่างการทำ TikTok เพื่อหางาน จนได้รับการยอมรับและกลายเป็นผู้ทลายกำแพงทางความคิดในสังคมนอร์เวย์

เรื่องราวของคุณมัสมั่นเป็นบทสรุปอันทรงพลังของวงสนทนาในวันนี้ เพราะมันสะท้อนว่า ท่ามกลางวิกฤตและความท้าทายที่ประเทศไทยเผชิญอยู่ และยังสอดคล้องกับผลสำรวจที่คนไทยในต่างแดนต้องการเข้ามามีบทบาท โดยเน้นบทบาทสำคัญอันดับแรกคือ การทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลเชิงบวกที่ถูกต้องและเป็นกลาง (Act as a positive information source) เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีต่อประเทศไทย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมผลิตภัณฑ์และบริการของไทยในตลาดโลก และการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างประเทศ พลังที่สำคัญที่สุดอาจอยู่ที่คนไทยทุกคน ทั้งในและนอกประเทศ ที่จะลุกขึ้นมาตั้งคำถาม ทลายกรอบความคิดเดิมๆ และร่วมกัน “สร้างพิมพ์เขียว” ของตัวเองและของประเทศชาติขึ้นมาใหม่

Thalay Space ครั้งนี้ ไม่ได้ให้คำตอบสำเร็จรูป แต่ได้มอบ “รอยหยักในสมอง” และจุดประกายความหวังว่า แม้จะอยู่ไกลบ้าน แต่หัวใจของเรายังคงร่วมสร้างอนาคตของประเทศไทยได้เสมอ

รายชื่อผู้ร่วมเสวนาและผู้มีส่วนร่วม

  • ดร.ปรีดี หงษ์สต้น (แจ่ว): นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านไทยศึกษา (วิทยากรหลัก)
  • ดร.พิมพ์ลภัส ลี้กิจเจริญผล (ชินนี่): นักวิทยาศาสตร์/นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในเดนมาร์ก (วิทยากรหลัก)
  • ภูกฤษณ์ เรืองศรีไชยะ (เทอร์โบ): ประธานสมาคม TSAAD นักศึกษาปริญญาเอก DTU (Biotechnology)
  • คุณมัสมั่น: เภสัชกรไทยในนอร์เวย์, ผู้แบ่งปันประสบการณ์ข้ามพรมแดน
  • คุณกร (Gorn): PhD Student (CBS) ด้าน Logistic
  • คุณทราย (Sai): จบปริญญาตรีจากเยอรมัน ทำงานด้านสังคมสงเคราะห์
  • คุณไบร์ท (Bright): นักศึกษาปริญญาเอก Aachen ด้าน Automation (Robotics), อดีตนายกสมาคมนักเรียนไทยในเยอรมัน
  • คุณมีน (Meen): นักวิจัย DTU Energy, ด้าน Carbon Capture
  • คุณภูมิ (Poom): จบ DTU (พลังงานลม), ทำงานด้าน Finance (Siemens)
  • คุณเบล (Bell): อาจารย์/นักวิจัย ด้านการออกแบบ มหาวิทยาลัยในเนอเธอร์แลนด์ ทำศิลปะร่วมสมัยในยุโรป
  • คุณบุ๋น (Boon): Master ด้าน Automation, ทำคลิปโปรโมตในโคเปนเฮเกน
  • คุณนิด (Nid): นักศึกษาปริญญาเอก KU (Biotech), ด้านการผลิตสารสีแดง (E120/Carmine) ด้วย GMO
  • คุณนก (Nok): Producer รายการ The Forward / Vice President สมาคม Thalay
  • คุณชาย (Child): President สมาคม Thalay, ผู้เชี่ยวชาญด้าน IT/พลังงาน ศิลปดิจิทัล