สังคมไร้เงินสด เปลี่ยน สวรรค์ของรัฐสวัสดิการ ไปเป็น Silicon Valley ของมิจจี้ : บทเรียนจากยุโรป

โดย นก อุ่นผล
Series: บทเรียนจากยุโรป

Silicon Valley ของมิจฉาชีพ

สรุปย่อ

สวีเดน: เคยเป็นสวรรค์ของรัฐสวัสดิการ ประชาชนใช้ชีวิตสงบสุข อาชญากรรมน้อย แต่ปัจจุบัน…

  • อาชญากรรมบางประเภทพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะอาชญากรรมไซเบอร์และการฉ้อโกง
  • สาเหตุ: สวีเดนไร้เงินสด พึ่งพาระบบออนไลน์สูง
  • มิจฉาชีพฉวยโอกาส:
    • หลอกเอาเงินจากบัญชีธนาคารผ่าน BankID
    • ตั้งบริษัทปลอมเพื่อฟอกเงิน
    • ฉ้อโกงสวัสดิการจากรัฐ
  • ผลกระทบ: เสียเงิน เศรษฐกิจเสียหาย ธุรกิจเสียชื่อ
  • ทางออก: ควบคุม BankID, ธนาคารเพิ่มมาตรการ, กำลังมีการพิจารณาให้ธนาคารคืนเงินให้กับเหยื่อผู้ถูกหลอกโอนเงิน
  • บทเรียน: สังคมไร้เงินสดต้องหาสมดุลระหว่างสะดวกกับปลอดภัย

สวีเดน ประเทศที่เคยขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัย ประชาชนใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แทบไม่มีอาชญากรรมรุนแรง สวรรค์ของรัฐสวัสดิการ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถิติอาชญากรรมบางอย่างกลับพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ 

การเปลี่ยนแปลงทางสังคม

สมัยก่อนเวลาพูดถึงอาชกรรมประเภทจี้ปล้นฉกชิงวิ่งราว ตำรวจสามารถติดตามจับกุมและดำเนินการทางกฎหมายได้ในพื้นที่เดียวกันหรือใกล้เคียง และยิ่งในประเทศรัฐสวัสดิการอย่างสวีเดน อาชญากรรมด้านนี้ค่อนข้างน้อยเพราะรัฐมีเงินสวัสดิการจุนเจือ คนท้องถิ่นไม่จำเป็นต้องไปจี้ปล้นใครเพื่อให้มีเงินเลี้ยงปากท้องในมื้อๆ นึง 

เมื่อสวีเดนเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมไร้เงินสดอย่างรวดเร็ว โดยมีความตั้งใจที่จะลดการใช้เงินสดในระบบเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัย แต่การเปลี่ยนแปลงนี้กลับมีผลกระทบที่ไม่คาดคิด นั่นคือการเพิ่มขึ้นของอาชญากรรมบางประเภท

ช่วงสิบปีที่ผ่านมาในสวีเดน โดยเฉพาะสต็อกโฮล์ม เกิดเหตุฆาตรกรรมและความรุนแรงที่ใช้อาวุธมากขึ้นเป็นสามเท่าตัว ซึ่งสาเหตุเกิดจากการขัดผลประโยชน์กันระหว่างแก๊งอาชญากรที่ดำเนินการโดยผู้อพยพรุ่นที่สอง เมื่อมีเรื่องเงินๆ ทองๆ เกี่ยวข้อง รัฐสวัสดิการอย่างสวีเดนก็ต้องสู้ไม่ถอยแต่อาชญากรก็สู้กลับ ตัวอย่างเช่นมีการทำเว็บไซต์บริษัทปลอมๆ ที่ซับซ้อนเสมือนจริงใช้ภาษาสวีดิชเป๊ะเว่อร์ เพื่อจะเข้าถึงระบบสวัสดิการแห่งรัฐ จนมีคนถึงเปลี่ยนนิยามสวีเดนจากสวรรค์ของรัฐสวัสดิการไปเป็น Silicon Valley ของมิจจี้

มิจจี้ทำถึง

ล่าสุด Fortune.com เขียนถึงเรื่องนี้โดยยกตัวอย่างจากเหตุการณ์จริงของอีลีนสาวน้อยสวีเดนอายุ 20 ต้นๆ เธอคุ้นเคยกับโลกออนไลน์เป็นอย่างดี กลับตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพหลอกขโมยเงินจากบัญชีของเธอ เริ่มเรื่องคืออีลินเข้าแอปซื้อของมือสอง ทุกอย่างปกติจนอีลินได้รับข้อความทางระบบให้ยืนยันตัวตน อีลินคลิกไปที่ลิงค์แล้วยืนยันตัวตนด้วย BankID ซึ่งเป็นระบบการยืนยันตัวตนทางดิจิตอลซึ่งใช้สำหรับบุคคลที่มีสัญชาติหรือถิ่นพำนักอยู่ในสวีเดน แต่กลับได้รับแต่ข้อความแสดงข้อผิดพลาด เธอก็รู้ทันทีว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลแต่ก็ไม่ทันมิจฉาชีพเสียแล้ว เงินในบัญชีของอีลินหายไปมากกว่า 10,000 สวีดิชโครน หรือประมาณ 1,000 เหรียญสหรัฐ พร้อมกับมิจฉาชีพที่หายไปอย่างไร้ร่องลอย

สะเทือน GDP 

ถึงแม้อาชญากรรมทางการเงินในสวีเดนจะมีข่าวให้เห็นน้อยกว่าอาชญกรรมและความรุนแรงจากอาวุธเถื่อนที่เกี่ยวข้องกับแก๊งอาชญากรที่ดำเนินการโดยผู้อพยพรุ่นที่สอง แต่มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจโดยประเมินอาจสูงถึง 2.5% ของ GDP

ทางสวีเดนจึงออกมาตรการตอบโต้โดยเพิ่มความเข้มงวดกับธนาคารในเรื่องการรักษาความปลอดภัย ซึ่งโจทย์หลักๆ คือทำอย่างไรให้อาชญากรเข้าถึงระบบของธนาคารได้ยากขึ้น ซึ่งธนาคารเองต้องหาจุดสมดุลของผลกระทบที่ตามมาของมาตรการ เช่นถ้ามาตรการเข้มแข็งเกินไปอาจจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว หรือถ้าอ่อนไปก็ส่งผลเสียต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจ

สังคมไร้เงินสด

ตั้งแต่ช่วงยุค90 สวีเดนเริ่มเป็นสังคมไร้เงินสดเพราะธนาคารโดนปล้น ร้านค้าโดนขโมยเงินสดในร้านกันบ่อย จึงเริ่มเปลี่ยนมาเป็นสังคมไร้เงินสดเพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน ปัจจุบันมีคนสวีเดนไม่ถึงสิบเปอร์เซนต์ที่เคยจับธนบัตร ตู้เอทีเอ็มที่สวีเดนก็มีน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนประชากร

เมื่อสวีเดนเป็นสังคมไร้เงินสด BankID จึงเข้ามามีบทบาทในการทำธุรกรรมออนไลน์ต่างๆ BankID มีออกมาครั้งแรกเมื่อปี 2001 ใช้สำหรับยืนยันตัวตนอิเล็กทรอนิกส์และลายเซ็นออนไลน์ โดยออกแบบและพัฒนาโดยบริษัท Finansielle ID-Teknik BID AB ซึ่งบริษัทนี้ธนาคารต่างๆ ของสวีเดนถือหุ้นอยู่ การทำธุรกรรมดิจิตอลที่น่าเชื่อถือได้ของสวีเดนจะต้องใช้ BankID เป็นหลัก เช่นลงทะเบียนขอคืนภาษีออนไลน์หรือจ่ายตั๋วค่ารถ

BankID เริ่มเป็นที่นิยมใช้หลังปี 2005 หลังจากที่กรมสรรพากรของสวีเดนนำมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการยืนยันตัวตนและการเซ็นเอกสารออนไลน์ในการจ่ายและคืนภาษี 

ปัจจุบันวิธีการใช้แอป BankID คือต้องยืนยันตัวตนสองขั้น ขั้นแรกคือยืนยันด้วยรหัสผ่าน 6 หลัก ขั้นที่สองคือยืนยันลายนิ้วมือหรือใบหน้า 

ช่องทางฟอกเงิน

การที่คนสวีเดนเชื่อมั่นใน BankID ก็เป็นดาบสองคม เพราะมิจฉาชีพก็จะใช้ช่องทางนี้ในการสร้างความน่าเชื่อถือได้เช่นกัน ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่เอะใจหรือไม่ระมัดระวัง เพราะเชื่อว่าเว็บไซต์หรือแอปนั้นได้รับการตรวจสอบก่อนเชื่อมต่อแล้ว

ส่วนรัฐเองก็ใช้ BankID ในการยื่นเอกสารเปิดบริษัท ซึ่งทำให้คนทั่วไปสะดวกต่อการทำธุรกิจ แต่มิจฉาชีพก็ใช้ช่องทางนี้ในการตั้งบริษัทเพื่อมาฟอกเงินจากธุรกิจผิดกฎหมาย บางรายใส่ข้อมูลเท็จเช่นเบอร์โทรซึ่งไม่มีการเปิดใช้ เมื่อมีบริษัทก็สามารถเปิดบัญชีธนาคารเพื่อเก็บรายได้จากการหลอกเหยื่อ, การค้ายาหรืออาวุธเถื่อน และเมื่อมีเงินเข้าออกก็สามารถแต่งบัญชีเพื่อกู้เงินหรือขอเงินช่วยเหลือจากรัฐได้ 

มีรายงานว่าจำนวนคดีฉ้อโกงผลประโยชน์จากสวัสดิการของรัฐ จาก 9,000 คดี ในปี 2014 เพิ่มเป็น 23,000 คดี ในปี 2030 นี่ก็เลยเป็นเหตุให้สวีเดนถึงกับตั้งหน่วยงานเพื่อสอดส่องเรื่องนี้โดยเฉพาะ 

ภาคธนาคารคือนางแบก

ในส่วนของธนาคารต่างๆ ก็ได้เพิ่มมาตรการความปลอดภัย เช่นให้เลือกว่าต้องมีผู้รับรองอีกหนึ่งคนหากเจ้าของบัญชีมีการโอนเงินในจำนวนมาก หรือจะดีเลย์การโอนเงินให้ช้าลงแต่ก็ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะถึงธนาคารจะออกมาตรการโอนเงินให้ช้าลง ก็ยังพบว่าเหยื่อยังโดนมิจฉาชีพหลอกขโมยเงินจากบัญชีอยู่ดี

ล่าสุดมีการออกโรงเรียกร้องให้ธนาคารต่างๆ แบกรับกับภาระที่เจ้าของบัญชีเผชิญกับการฉ้อโกงหลอกลวงให้โอนเงิน ซึ่งปัจจุบันบริษัทผู้ให้บริการชำระเงินจะต้องรับภาระไป 10% และหน่วยงานเฝ้าระวังทางการเงินของสวีเดนเปิดเผยว่ารัฐกำลังดูตัวอย่างจากอังกฤษ ซึ่งตั้งแต่ตุลาฯ ปีนี้เป็นต้นไป ธนาคารต่างๆ ในอังกฤษจะต้องคืนเงินให้กับลูกค้าที่ถูกหลอกให้ทำการโอนเงินภายใน 5 วัน ทั้งนี้ลูกค้ามีสิทธิ์เรียกคืนการโอนเงินนั้นภายใน 13 เดือน ซึ่งกฎนี้ออกมาเพื่อให้ธนาคารเพิ่มประสิทธิภาพระบบการป้องกันการฉ้อโกงและคุ้มครองผู้บริโภค

ติดตามตอนต่อไป

เราๆ ท่านๆ ก็คงต้องดูต่อไปว่าสวีเดนจะปรับมาตรการตามอังกฤษไหม และหลังจากอังกฤษทำแล้วจะเป็นอย่างไร ที่แน่ๆ เราเห็นความตั้งใจของหน่วยงานรัฐ, ตำรวจ, นักการเมือง, ภาคการเงินและธนาคารต่างๆ ที่ร่วมมือกันแก้ปัญหาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง 

สวีเดนก็เหมือนประเทศอื่นๆ ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ในการรักษาสมดุลระหว่างความสะดวกสบาย, เทคโนโลยี และความปลอดภัย โดยสวีเดนพยายามทำให้ดีที่สุดโดยนึกถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก

หมายเหตุ

ไม่ต้องเชื่อผู้เขียนทั้งหมด หากสงสัยแนะนำให้เช็คข้อมูลจากแหล่งต่างๆ อีกที


เกี่ยวกับผู้เขียน

นก เรียนด้านไอที มีประสบการณ์ทำงานด้านพัฒนาระบบของธนาคารแห่งหนึ่งในยุโรปเหนือ ปัจจุบันทำงานออกแบบระบบของผู้ให้บริการชำระเงินออนไลน์อันดับต้นๆ ของโลก 

เวลาว่างชอบทำกับข้าว ดูซีรีย์เกาหลี ชอบติดตามข่าวและความเคลื่อนไหวด้าน Cyber Security และช่วงนี้ติดตาม IG หมีเนย