ไทยส่งชาวอุยกูร์กลับจีน – พายุบนความขัดแย้ง”สิทธิมนุษนชน”

โดย ชาย วีรพล

การส่งชาวอุยกูร์กลับจีนของไทย – ชวนหาคำตอบ ตามหาเหตุผล วิเคราะห์ความสัมพันธ์ และย้อนดูสิทธิมนุษยชน

ต้นเรื่อง

ชาวอุยกูร์ 40 คนกลับไปยังประเทศจีน หลังถูกกักตัวนานกว่า 11 ปี

ท่ามกลางคำรับรองจากจีนว่าพวกเขาจะปลอดภัย แต่การตัดสินใจนี้กลับจุดชนวนให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากนานาชาติ ตั้งแต่สหรัฐฯ ยุโรป สหประชาชาติ ไปจนถึงองค์กรสิทธิมนุษยชนชื่อดังอย่าง Amnesty International และ Human Rights Watch

คำวิจารณ์เหล่านี้สะท้อนอะไรเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในระดับสากล

เกิดอะไรขึ้นกับชาวอุยกูร์กลุ่มนี้จริงๆ?

ทำไมไทยต้องส่งชาวอุยกูร์ไปตอนนี้?

ไทยทำผิดพลาดหรือถูกใช้เป็นเครื่องมือในเกมการเมืองโลก?

ชวนมาหาคำตอบในบทความนี้ ผ่านการเจาะลึกแง่มุมของเหตุการณ์ที่กำลังสั่นสะเทือนภาพลักษณ์ของไทยบนเวทีโลก และไทยจะก้าวผ่านวิกฤตนี้อย่างไร และอนาคตของประเทศจะเปลี่ยนไปแค่ไหน

การตัดสินใจของรัฐบาลไทยในการส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับประเทศจีนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 หลังถูกกักตัวในศูนย์กักกันคนต่างด้าวนานกว่า 11 ปี ได้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติ บทความนี้จะวิเคราะห์เหตุผลที่ไทยเลือกส่งกลับในช่วงนี้ ความเป็นไปได้ที่อาจเป็นผลตอบแทนจากความร่วมมือกับจีน รวมถึงมาตรการของทั้งรัฐบาลไทยและจีนเพื่อประกันความปลอดภัยของผู้ถูกส่งกลับ

ทำไมไทยถึงส่งชาวอุยกูร์ให้จีนในช่วงนี้

การส่งชาวอุยกูร์กลับเกิดขึ้นในช่วงที่ความสัมพันธ์ไทย-จีนกำลังแน่นแฟ้น โดยเฉพาะหลังการเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีไทย แพทองธาร ชินวัตร เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ถึงความร่วมมือทวิภาคี (Reuters) เหตุผลที่ไทยตัดสินใจในช่วงนี้อาจรวมถึง:

  1. แรงกดดันทางการทูตจากจีน: จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไทย และอาจใช้ความสัมพันธ์นี้กดดันให้ไทยส่งตัวกลับ โดยเฉพาะเมื่อไทยขาดระบบสถานะผู้ลี้ภัยตามอนุสัญญาของ UN (Freedom House)
  2. ภาระการกักตัว: การกักตัวนานกว่า 10 ปีสร้างต้นทุนและความซับซ้อน โดยไทยระบุว่าได้พยายามหาประเทศที่สามรับตัว แต่ไม่สำเร็จ (Reuters)
  3. บริบทการเมืองโลก: การเลือกตั้งไทยเป็นสมาชิกสภามนุษยชน UN และความสัมพันธ์ที่ถ่วงดุลระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อาจผลักดันให้ไทยแสดงท่าทีเอื้อต่อจีน

เป็นผลต่างตอบแทนกับไทยหรือไม่

หรือนี้จะเป็นผลต่างตอบแทนกับไทยที่จีนมาช่วยปราบปรามศูนย์หลอกลวงในเมียนมาร์?

มีความเป็นไปได้ที่การส่งชาวอุยกูร์กลับอาจเชื่อมโยงกับความร่วมมือระหว่างไทยและจีนในการปราบปรามศูนย์หลอกลวงออนไลน์ในภูมิภาค โดยเฉพาะในเมียนมาร์และกัมพูชา:

  • ความร่วมมือล่าสุด: เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 จีนส่งตัวกลับชาวจีนกว่า 1,000 คนจากศูนย์หลอกลวงในเมียนมาร์ผ่านไทย ด้วยความช่วยเหลือจากตำรวจไทย (NPR) ในการเยือนจีน สี จิ้นผิง ขอบคุณไทยสำหรับความร่วมมือนี้ (ABC News)
  • การแลกเปลี่ยนที่เป็นไปได้: นักวิเคราะห์ อย่าง Kunnawut Boonreak and Nontarat Phaicharoen ชี้ว่า การส่งชาวอุยกูร์กลับอาจเป็นสัญญาณของการผูกพันลึกซึ้งขึ้นกับจีน ซึ่งอาจตอบแทนความช่วยเหลือของจีนในประเด็นศูนย์หลอกลวง (Radio Free Asia)

แม้มีความเป็นไปได้ แต่ไม่มีหลักฐานเอกสารชัดเจนยืนยันว่าเป็นการแลกเปลี่ยนโดยตรง การตัดสินใจนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ทวิภาคีที่กว้างขึ้น

รัฐบาลไทยทำอย่างไรเพื่อประกันความปลอดภัย

รัฐบาลไทยได้ดำเนินมาตรการเพื่อพยายามรับรองความปลอดภัยของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับ

  1. คำรับรองจากจีน: ไทยได้รับเอกสารจากจีนยืนยันว่าชาวอุยกูร์จะปลอดภัยและกลับไปอยู่กับครอบครัว โดยไม่ถูกลงโทษ (Reuters)
  2. ส่งตัวแทนไปติดตาม: หัวหน้าสภาความมั่นคงแห่งชาติและเจ้าหน้าที่เดินทางไปกับชาวอุยกูร์ถึงซินเจียง เพื่อดูการส่งตัว (Nation Thailand)
  3. สอบถามความสมัครใจ: ไทยระบุว่าทุกคนยินยอมกลับ แม้องค์กรสิทธิมนุษยชนสงสัยถึงความเป็นอิสระของการตัดสินใจ (BBC News)

อย่างไรก็ตาม การขาดการตรวจสอบอิสระจาก UN หรือกลุ่มสิทธิมนุษยชนทำให้มาตรการนี้ถูกวิจารณ์ว่าขาดความน่าเชื่อถือ (UN News)

รัฐบาลจีนทำอย่างไรเพื่อประกันความปลอดภัย

รัฐบาลจีนได้แสดงท่าทีและดำเนินการเพื่อตอบรับเรื่องสิทธิมนุษยชน

  1. คำมั่นอย่างเป็นทางการ: จีนให้คำรับรองว่า ชาวอุยกูร์จะได้รับการดูแลดีและไม่ถูกลงโทษ ตามแถลงของสถานทูตจีนในไทย (X post)
  2. การต้อนรับครอบครัว: สื่อจีนเผยภาพครอบครัวต้อนรับและการตรวจสุขภาพ แสดงถึงการกลับสู่ชีวิตปกติ (Global Times)
  3. ยืนยันตามกฎหมาย: จีนระบุว่ากระบวนการเป็นไปตามกฎหมายและเคารพสิทธิมนุษยชน ปฏิเสธข้อกล่าวหาการปราบปราม (Reuters)

อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานของจีนยังขาดการเข้าถึงจากองค์กรอิสระและประวัติการกักขังชาวอุยกูร์ในซินเจียง (Human Rights Watch) ทำให้เกิดความสงสัยในคำมั่นนี้

มองย้อน “การส่งกลับ” ช่วงรัฐบาลประยุทธ

ในปี 2558 รัฐบาลประยุทธ์ เป็นรัฐบาลทหารหลังการรัฐประหาร และเผชิญวิกฤตความมั่นคงภายในประเทศ

  • เหตุการณ์ในปี 2558: รัฐบาลประยุทธส่งชาวอุยกูร์ 109 คนกลับจีนในเดือนกรกฎาคม 2558 หลังถูกกักตัวตั้งแต่ปี 2557 โดยอ้างว่าดำเนินการตามกฎหมายและคำขอจากจีน ไทยระบุว่าได้แยกกลุ่มที่เป็นชาวตุรกีออกไปก่อนหน้านี้ (ประมาณ 170 คน) และส่งกลุ่มที่ระบุว่าเป็นชาวจีนกลับตามสัญชาติ (Thailand condemned for repatriation of 109 Uighurs to China)
  • การสูญหายของบุคคล: หลังการส่งกลับในปี 2558 ชะตากรรมของชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ไม่ชัดเจน World Uyghur Congress รายงานว่าพวกเขาอาจเผชิญการจำคุก การทรมาน หรือการบังคับให้สูญหาย โดยไม่มีข้อมูลยืนยันจากจีน ครอบครัวและญาติไม่สามารถติดต่อได้ (Forgotten Voices: The Uyghurs Facing Deportation From Thailand to China)
5 กุมภาพันธ์ 2554 ชาวอุยกูร์ได้จัดการประท้วงที่ย่านจอร์ดาน (Jordaan) ในกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อเรียกร้องความสนใจต่อการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมและการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ชาวอุยกูร์ในซินเจียง (Photo: Paul KellerCC BY 2.0, via Wikimedia Commons)

เปรียบเทียบการส่งกลับปี 2558 (รัฐบาลประยุทธ์) และ 2568 (รัฐบาลแพทองธาร)

เปรียบเทียบเหตุการณ์ปี 2558 กับปี 2568 มีความคล้ายคลึงตรงที่ ทั้งสองครั้งเกิดขึ้นภายใต้แรงกดดันจากจีน และไทยอ้างคำรับรองจากจีนถึงความปลอดภัย โดยขาดการตรวจสอบอิสระ การส่งกลับในปี 2568 ยังมีคำถามถึงการสูญหายเช่นกัน เนื่องจากไม่มีกลไกติดตามที่โปร่งใส

ทั้งในปี 2558 และ 2568 ไม่มีกลไกอิสระจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UN หรือกลุ่มสิทธิมนุษยชน เข้ามาตรวจสอบชะตากรรมของผู้ถูกส่งกลับ

ทั้งสองครั้งถูกประณามจากสหรัฐฯ UN และองค์กรสิทธิมนุษยชนว่าเป็นการละเมิดหลักไม่ส่งกลับ (non-refoulement)

หากพิจารณาในรายละเอียด อาจพบมุมมองจากนานาชาติและปัจจัยภายในและนอกประเทศที่แตกต่างกัน

  • ในปี 2558 รัฐบาลประยุทธ์ เป็นรัฐบาลทหารหลังการรัฐประหาร และเผชิญวิกฤตความมั่นคงภายใน ส่วนในปี 2568 รัฐบาลแพทองธารเป็นรัฐบาลเลือกตั้งที่เพิ่งได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภามนุษยชน UN ทำให้การส่งกลับถูกมองว่าขัดแย้งกับภาพลักษณ์ใหม่ (Thailand elected to UN Human Rights Council)
  • การเจรจาทางการทูตเกิดขึ้นในการส่งกลับในปี 2568 เกิดหลังการเยือนจีนของผู้นำไทย ซึ่งบ่งชี้ถึงการเจรจาทางการทูตที่เข้มข้น (China’s Xi meets Thai PM) ส่วนในปี 2558 ไม่มีรายงานการเยือนระดับสูงที่เชื่อมโยงโดยตรง
  • ในปี 2568 รัฐบาลไทยได้รับคำรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรจากจีนว่า ชาวอุยกูร์ 40 คนที่ถูกส่งกลับจะปลอดภัยและได้กลับไปอยู่กับครอบครัว โดยไม่ถูกลงโทษ (Thailand sends 40 Uyghurs back to China after decade in detention) นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ไทย เช่น หัวหน้าสภาความมั่นคงแห่งชาติ เดินทางไปกับเครื่องบินเพื่อตรวจสอบระหว่างการส่งตัว (Police chief orders heightened security at key sites after Uyghur deportation) การกระทำนี้ดูเหมือนจะเป็นพัฒนาการเมื่อเทียบกับปี 2558 ซึ่งไม่มีมาตรการเช่นนี้
  • การรับรองในปี 2568 อาจสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงการทูตไทย โดยแสดงถึงความพยายามในการถ่วงดุลความสัมพันธ์กับจีนและการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในยุคของรัฐบาลพลเรือนที่อาจต้องเน้นความโปร่งใสมากกว่ารัฐบาลทหารในอดีต
  • การรับรู้ของสาธารณะในปี 2558 นั้น เกิดขึ้นในยุคที่โซเชียลมีเดียยังไม่แพร่หลายเท่าปัจจุบัน ทำให้การประท้วงจำกัดวง ส่วนในปี 2568 การวิจารณ์ผ่านแพลตฟอร์ม Social Media และสื่อสากลแพร่กระจายรวดเร็วกว่ามาก ทำให้เรื่องนี้ในปี 2568 เป็นประเด็นนานาชาติ และในไทยอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้การส่งกลับในปี 2558 นำไปสู่การประท้วงและเหตุระเบิดที่ศาลเจ้าพระพรหม ซึ่งบางฝ่ายเชื่อว่าเป็นการตอบโต้ (Bangkok bomb: What we know) ขณะที่ในปี 2568 ไม่มีรายงานเหตุรุนแรงทันที แต่อาจเกิดผลกระทบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากกว่า

เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2558 มีการจัดการประท้วงที่สวนสาธารณะชินจูกุชูโอในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเรียกร้องความสนใจต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นกับชาวอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงของจีน (Photo : Syced, CC0, via Wikimedia Commons)

คำวิจารณ์จากนานาชาติ

การส่งชาวอุยกูร์กลับได้รับคำวิจารณ์อย่างหนักจากหลายชาติรวมถึงองค์กรนานาชาติ ราวกับพายุถาโถมประเทศไทย

  • สหรัฐฯ: กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประณามการส่งกลับ ระบุว่าเป็นการละเมิดหลักไม่ส่งกลับ (non-refoulement) และเรียกร้องให้จีนเปิดเผยสถานะของผู้ถูกส่งกลับ (United States Department of State)
  • สหราชอาณาจักร: โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้วิจารณ์การตัดสินใจนี้อย่างรุนแรง ระบุว่า “สหราชอาณาจักรไม่เห็นด้วยอย่างที่สุดกับการตัดสินใจของไทยในการส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีน” และผลักดันให้จีนปฏิบัติตามคำแนะนำของ OHCHR (Foreign Secretary statement on Thailand’s deportation of 40 Uyghur Muslims to China)
  • เยอรมนี: กระทรวงการต่างประเทศแสดงความกังวลต่อชะตากรรมของชาวอุยกูร์ (Germany calls for investigation into Uyghur treatment)
  • ออสเตรเลีย: กระทรวงการต่างประเทศแสดงความกังวลต่อการส่งกลับที่อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิ (Australia expresses concern over Uyghur deportation)
  • แคนาดา: กระทรวงการต่างประเทศแสดงความกังวลอย่างลึกซึ้งต่อการส่งกลับนี้ (Canada concerned about Uyghur deportation)
  • ตุรกี: กระทรวงการต่างประเทศประนามอย่างรุนแรงว่าเป็นการละเมิดสิทธิของชาวอุยกูร์ (Turkey condemns Thailand’s Uyghur deportation)
  • World Uyghur Congress: ซึ่งตั้งอยู่ในเยอรมนี ได้วิจารณ์ว่า การส่งกลับนี้ทำให้ไทยเสียความน่าเชื่อถือในเวทีโลก และต้องรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยกลุ่มนี้ยังตำหนิ UN ที่ไม่สามารถป้องกันการส่งกลับนี้ได้ (US condemns Thailand’s deportation of 40 Uyghurs to China)
  • สหประชาชาติ (UN): UNHCR และหน่วยงาน UN อื่น ๆ เรียกร้องให้ไทยหยุดการส่งกลับ และให้จีนอนุญาตให้มีการตรวจสอบอิสระ โดยชี้ว่าชาวอุยกูร์เสี่ยงต่อการทรมานหรือกักขังในซินเจียง (UN News)
  • องค์กรสิทธิมนุษยชน: Amnesty International เรียกการกระทำนี้ว่า “โหดร้ายเกินจินตนาการ” ขณะที่ Human Rights Watch ระบุว่าไทยล้มเหลวในการปกป้องผู้ลี้ภัย โดยอ้างอิงประวัติการปราบปรามของจีนที่มีชาวอุยกูร์ถูกกักขังถึง 1 ล้านคน (Amnesty International, Human Rights Watch)

การส่งกลับนี้ถูกมองว่าขัดแย้งกับสถานะใหม่ของไทยในสภามนุษยชน UN รวมถึงผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในนานาชาติ ซึ่งอาจทำให้ไทยถูกกดดันในเวทีโลกมากขึ้น (The Guardian)

คำวิจารณ์เหล่านี้ยังเน้นย้ำถึงการขาดความโปร่งใสและกลไกตรวจสอบอิสระ ซึ่งทำให้ความน่าเชื่อถือของคำรับรองจากทั้งไทยและจีนถูกตั้งคำถาม

หรือชาติตะวันตกต้องการวิจารณ์จีนผ่านไทย

แรงกดดันจากนานาชาติจริงๆ แล้วเพราะต้องการวิจารณ์จีนแต่ผ่านทางไทยหรือไม่?

มีข้อสังเกตว่าแรงกดดันจากนานาชาติต่อไทยอาจไม่ใช่แค่การตำหนิไทยโดยตรง แต่เป็นการใช้ไทยเป็นช่องทางในการวิจารณ์และกดดันจีน ซึ่งเผชิญข้อกล่าวหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียงมานาน:

  • เป้าหมายที่จีน: สหรัฐฯ และตะวันตกมีประวัติการวิจารณ์จีนเรื่องการกักขังชาวอุยกูร์ในค่ายปรับทัศนคติและการบังคับใช้แรงงาน โดยมีการคว่ำบาตรและประณามต่อเนื่อง (U.S. Department of State) การวิจารณ์ไทยอาจเป็นวิธีทางอ้อมในการเน้นย้ำปัญหาของจีน โดยเฉพาะเมื่อจีนให้คำรับรองที่ขาดการตรวจสอบ
  • ไทยเป็นตัวกลาง: ไทยถูกมองเป็นพันธมิตรที่อ่อนแอในกรณีนี้ เนื่องจากไม่ใช่สมาชิกอนุสัญญาผู้ลี้ภัย และพึ่งพาจีนทางเศรษฐกิจ นักวิเคราะห์ชี้ว่า การกดดันไทยอาจเป็นกลยุทธ์เพื่อส่งสัญญาณถึงจีน โดยไม่ต้องเผชิญหน้ากันโดยตรง (Newsweek)

อย่างไรก็ตาม การวิจารณ์ไทยยังสะท้อนความรับผิดชอบของไทยเองในฐานะรัฐที่มีอำนาจอธิปไตย โดยเฉพาะเมื่อเพิ่งได้รับเลือกเข้าสภามนุษยชน UN การมองว่าเป็นเพียงการโจมตีจีนผ่านไทยอาจง่ายเกินไป เพราะไทยมีทางเลือกอื่น เช่น ส่งต่อไปยังประเทศที่สาม

อนาคตของไทย

อนาคตของไทยอาจได้รับผลกระทบอยู่บ้าง และนี้คือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้

  1. ภาพลักษณ์ด้านสิทธิมนุษยชน:
    • การวิจารณ์จากนานาชาติ เช่น สหรัฐฯ และ UN อาจทำลายภาพลักษณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของไทย โดยเฉพาะหลังเพิ่งได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภามนุษยชน UN (Thailand elected to UN Human Rights Council)
    • อาจกระทบการเข้าร่วมฟอรั่มสิทธิระหว่างประเทศ และลดโอกาสในการได้รับความช่วยเหลือหรือความร่วมมือที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน
  2. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ:
    • ความสัมพันธ์กับจีนอาจแข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากไทยอาจได้รับประโยชน์ด้านการค้าและการลงทุน (China’s Xi meets Thai prime minister with trade, online scams in focus)
    • แต่กับตะวันตก เช่น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป อาจตึงเครียดมากขึ้น โดยอาจมีการเรียกร้องให้ไทยปรับปรุงนโยบาย (US ally Thailand kowtows to China as old world order crumbles)
  3. นโยบายภายในประเทศ:
    • อาจมีการเรียกร้องภายในประเทศให้ปฏิรูปกฎหมายคนเข้าเมืองและระบบจัดการผู้ลี้ภัย เพื่อป้องกันกรณีคล้ายกันในอนาคต (Thailand Should Free Detained Uyghur Asylum Seekers)
    • การพัฒนาระบบสถานะผู้ลี้ภัยอาจเป็นทางออกเพื่อลดการวิจารณ์จากนานาชาติ (Urban asylum seekers and refugees in Thailand)

หากไทยไม่ดำเนินการใด ๆ อาจถูกกดดันจากนานาชาติ เช่น การคว่ำบาตรหรือลดความช่วยเหลือด้านการพัฒนา แต่หากไทยปรับปรุงนโยบาย อาจฟื้นฟูภาพลักษณ์และเสริมสร้างความเชื่อมั่นในเวทีโลก

อาจไม่รุนแรงอย่างที่คิด

Zelenskyy มาช่วยไทยไว้ทัน?

เพียงวันถัดมา (28 กุมภาพันธ์ 2568) ความขัดแย้งระหว่าง Volodymyr Zelenskyy และ Donald Trump ในระหว่างการประชุมที่ทำเนียบขาวกลายเป็นข่าวใหญ่ระดับโลก เหตุการณ์นี้ได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อสากล ซึ่งอาจช่วยลดกระแสวิจารณ์ต่อไทยลงชั่วคราว

  • ข่าวนี้ดึงและเบี่ยงเบนความสนใจ ของสื่อโลกไปจากกรณีของไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่กระแสวิจารณ์กำลังรุนแรง สื่อใหญ่ๆ เช่น Al Jazeera และ NBC News รายงานถึงความขัดแย้งนี้อย่างกว้างขวาง
  • การที่สปอตไลต์หันไปทางสหรัฐฯ และยูเครนอาจให้ไทยมีเวลาในการจัดการผลกระทบและวางแผนการตอบสนองต่อนานาชาติมากชึ้น

มองไปข้างหน้า

เมื่อมองย้อนกลับไปที่ยุครัฐบาลประยุทธ อาจเผยให้เห็นปัญหาการสูญหายที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข สะท้อนความท้าทายของไทยในการถ่วงดุลความสัมพันธ์ทวิภาคีและพันธกรณีสิทธิมนุษยชน

ทั้งไทยและจีนต่างให้คำมั่นถึงความปลอดภัย แต่การขาดการตรวจสอบอิสระทำให้เกิดคำวิจารณ์รุนแรงจากนานาชาติ ซึ่งบางส่วนอาจเป็นการเมืองระหว่างประเทศที่ใช้ไทยกดดันจีนเรื่องซินเจียง

ไทยอาจส่งชาวอุยกูร์กลับในช่วงนี้จากแรงกดดันของจีนและข้อจำกัดภายใน โดยอาจเชื่อมโยงกับผลต่างตอบแทนในความร่วมมือด้านการปราบปราม Call Center ที่จีนมาช่วยไทยไว้

แต่การส่งกลับนี้ได้ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากหลายชาติ ซึ่งประณามว่าเป็นการละเมิดหลักไม่ส่งกลับ และ UN รวมถึงองค์กรนานาชาติ เช่น Human Rights Watch และ Amnesty International ระบุว่าเสี่ยงต่อการทรมานและกักขัง

อนาคตของไทยอาจเผชิญความท้าทายด้านภาพลักษณ์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่หากจัดการได้ดี อาจฟื้นฟูความเชื่อมั่นในเวทีโลกกลับมาได้

การพัฒนาระบบสถานะผู้ลี้ภัยของไทย อาจเป็นทางออกสำคัญในการลดการวิจารณ์จากนานาชาติ และยกระดับการจัดการผู้ลี้ภัยในประเทศ


อ้างอิง


เกี่ยวกับผู้เขียน

ชาย ในระบบโรงเรียน เขาศึกษามาทางด้านวิศวกรรมโยธา มีประสบการณ์ด้านวิชาการเกี่ยวกับน้ำและสภาพอากาศ เขาก้าวเข้าสู่วงการ Startup มีความสนใจในการขับเคลื่อนภาคประชาชน โดยมองผ่านด้าน non-technical เช่น ศิลปะ ประวัติศาสตร์ และการเมือง เขายังมีโอกาสคลุกคลีกับศิลปินที่มีความหลากหลายและมุมมองที่แตกต่าง ทำให้เขาได้เรียนรู้และเปิดรับแนวคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับโลก

ปัจจุบันเขาทำงานในด้าน IoT และการบริหารจัดการพลังงาน